สวัสดีปีใหม่
โอเค เราไม่ได้อัพบล็อกหรือแปลเพลงมานานมาก แต่ก็ช่างมันเถอะ
บางทีเราก็อยากจะเปิดเพจวาดรูปแต่ก็ช่างเถอะ
อันนี้คือไดอารี่
ตอนนี้แค่อยากจะบ่น (เรียกว่าสครีมได้ไหมนะ)
และได้โปรด
คิดว่ามันเป็นเพียงนิยายรักโง่ๆนะ
เราแม่งชอบคนโคตรง่ายเลยหว่ะ
แน่นอนเราจะเล่าให้คุณฟัง
ก่อนอื่นสิ่งที่คุณต้องรู้เกี่ยวกับเราคือ
1.
แม่เราเป็นอาจารย์ คณะวิทย์ (แน่นอน
เราโตมาในสังคมด๊อกเตอร์)
2.
เราไม่แต่งตัว หมายถึง เราคิดว่าการใส่คอนเวิร์ส กางเกงยีนส์
และเสื้อยืด มันโอเคที่สุดแล้ว
3.
เราคุยกับน้าๆมันจะมีหางเสียงเสมอ
4.
รู้สึกว่าทุกคนรู้สึกว่าเราเป็นเด็กน้อย ชอบจัง
คุณเชื่อเรื่อง first impression ไหม
ใช่แล้ว เราไม่เคยเชื่อ แต่ชิบหายแม่งมีจริง
ฉันเจอเขาครั้งแรกตอนไปกินข้าว เรานั่งเฉียงๆกัน
ฉันไม่ได้ชอบเขาตั้งแต่มองหน้านะ แต่คือแม่งเหมือนมีอะไรสะกิดใจ
แบบฉันรู้สึกว่าโอเคกับเขาอ่ะ
เขาไม่ค่อยพูด แต่เสียงเขานุ่มมาก อมก โอเค ฉันถูกชะตากับเขา(โคตร)
เขาไม่หล่อ คล้ำ ท้วม สูงกว่าฉัน (แน่นอนว่าฉันไม่มีสเป็คหน้าตาที่แน่นอนกับคนที่ฉันปลื้มในชีวิตจริง)
ตอนแรกฉันรู้สึกอย่างนั้น แม้กระทั้งตอนนี้ก็เหมือนเดิม เชี่ยเอ้ย
ตอนนั้นเขาไม่ค่อยพูด เขาคงเกร็ง กินข้าวกับผู้ใหญ่(แม่เรา)
แต่แม่สนิทกับเพื่อนกลุ่มเขานะ แม่เราวัยรุ่น lol
เหมือนไม่มีความสุข แต่โชคดีที่กลุ่มน้าๆเป็นคนตลก
เลยทำให้เขาดูกลืนไปกับบรรยากาศ
ตอนนั้นฉันแอบมองเขาอยู่นะ แต่ตลอดหรือเปล่าไม่รู้
ที่แปลกคือเขาอยู่ในความทรงจำฉันสักพักหนึ่ง
และหายไป..........
เจอเขาอีกทีตอนปีใหม่ เราจะเดินทางไปงานแต่งในจังหวัดที่เดินทางสัก7ชม.เป็นอย่างน้อย
เราไม่ได้นั่งเครื่องเพราะว่าจะได้มีรถขับไปเที่ยว
ขาไป ฉันนั่งหน้า แม่ขับเขาและน้าอีกคนนั่งหลัง
แม่ขับตลอด พวกเราก็หลับๆตื่นๆ
เขาไม่ค่อยพูด...
บนรถไม่มีบทสนทนามากนัก ฉันแค่ไม่เก่งเรื่องชวนคุย
แม่มักจะทำเสมอ ฉันทำได้แค่แอบมอง
ระหว่างทางพวกเรามีบทสนทนามากขึ้น เราสนิทกันมากขึ้น
แต่เขาก็ยังไม่ค่อยพูด
พอถึงจุดหมาย เป็นตัวเมืองเล็กๆ ที่หลงกันหนักมาก
ฉันแอบดีใจที่หลง เพราะพวกเราขำไปพร้อมๆกัน
เมื่อมีเสียงหัวเราะ ก็มีความสนิทกันมากขึ้น(รึเปล่านะ)
เราถึงบ้านพักสักบ่ายสี่ได้มั้ง
ความจริงเราถึงตั้งแต่บ่ายสอง แต่ด้วย
1.
ยังไม่ได้กินข้าวเที่ยง ไปหาร้านกินข้าว
แต่แย่เถอะ ไม่มีที่จอด หาวนไป
2.
เราต้องไปรับน้าอีกคนที่สถานีขนส่ง
แต่พวกเราเดินทางไป “สำนักงานขนส่ง”
ชิบหาย 555555555555 ฉันหวังว่าตัวอย่างนี้คุณจะเข้าใจในความรั่วของทริปนี้นะ
พวกเราไปช่วยเตรียมงานแต่ง
เราต้องร้อยประตูเงินประตูทองและอุบะ แม่เจ้า เชื่อไหม มันง่ายนะ
แต่สกิลงานฝีมือฉันแย่มาก(แค่ขมวดด้ายยังทำไม่เป็น)
ก็ต้องเรียนรู้กันไป พวกเรามีกิจกรรมร่วมกัน
ทุลักทุเล
เหมือนตอนนี้เราสนิทกันแล้ว J
วันที่สองเราไปในเมืองเที่ยวกัน
หน้าที่ของฉันคือการดูแผนที่
ขำ พากันหลง
วัดที่นี่เยอะมาก และสวย
ฉันคุยกับเขามากขึ้น หล่ะมั้ง
ฉันสังเกตว่าเขาพูด ‘คะ ค่ะ’ กับฉัน
โอเค ฉันเขินมากเวลานึกถึง เชี่ยแม่งง
ฉันไม่เคยอยากให้ใครพูดอยากนี้กับฉันนะ แต่ฉันเจอเขาพูดแล้วแบบ มันทำให้ฉันอยากกรี๊ดใส่หมอน
แน่นอนว่าฉันเก็บอาการ
เราไปที่วัดนึงอยู่บนเขา
มีจุดชมวิว
ฉันเห็นเหมือนภูเขา แต่มันสูงเกินไป
'น้าคิดว่าเป็นเมฆหรือภูเขาคะ'
'ไม่รู้สิคะ เมฆมั้ง'
มีคนขอให้เขาถ่ายรูปให้ แต่ว่ามันย้อนแสง
'มันมืดนะครับ' เขาบอกคนนั้น
ฉันเลยไปเสือก บอกเขาว่า
'ปรับแสงสิคะ'
'พี่ไม่ค่อยเก่งเรื่องพวกนี้ เราถ่ายสิ' เขายื่นมือถือให้ฉัน
ฉันรับมือถือมาถ่าย
ฉันพยายามถ่ายรูปให้คนคนนั้น แต่ว่าเศียรพระดันตกเฟรมกล้อง
*พยายามยืดตัวให้สูงเพื่อเก็บภาพ*
คนนั้นบอกฉันว่าให้ปีนขึ้นเก้าอี้เลย
แน่นอนว่าฉันไม่ปีนขึ้นไป
เขาหัวเราะ ไม่รู้เพราะว่าฉันยืดตัว หรือความดื้อรั้นว่าจะไม่ปีนขึ้นเก้าอี้
ฉันก็พยายามถ่ายจนได้
เขาก็ยังคงยืนอยู่ใกล้ๆฉัน
เราไปที่วัดนึงอยู่บนเขา
มีจุดชมวิว
ฉันเห็นเหมือนภูเขา แต่มันสูงเกินไป
'น้าคิดว่าเป็นเมฆหรือภูเขาคะ'
'ไม่รู้สิคะ เมฆมั้ง'
มีคนขอให้เขาถ่ายรูปให้ แต่ว่ามันย้อนแสง
'มันมืดนะครับ' เขาบอกคนนั้น
ฉันเลยไป
'ปรับแสงสิคะ'
'พี่ไม่ค่อยเก่งเรื่องพวกนี้ เราถ่ายสิ' เขายื่นมือถือให้ฉัน
ฉันรับมือถือมาถ่าย
ฉันพยายามถ่ายรูปให้คนคนนั้น แต่ว่าเศียรพระดันตกเฟรมกล้อง
*พยายามยืดตัวให้สูงเพื่อเก็บภาพ*
คนนั้นบอกฉันว่าให้ปีนขึ้นเก้าอี้เลย
แน่นอนว่าฉันไม่ปีนขึ้นไป
เขาหัวเราะ ไม่รู้เพราะว่าฉันยืดตัว หรือความดื้อรั้นว่าจะไม่ปีนขึ้นเก้าอี้
ฉันก็พยายามถ่ายจนได้
เขาก็ยังคงยืนอยู่ใกล้ๆฉัน
ช่วงบ่ายเราไปรับน้าอีกคน ที่ขนส่ง น่ายินดีที่ฉันพาไปถูก
แก๊งเรามี6คนแล้ว
ครบแก๊งในทริปนี้ เชื่อสิ ว่ามันเป็นอะไรที่รั่วมาก ทำไมพวกคุณตลกกันอย่างนี้
พวกคุณจบปริญญาเอกกันแล้วนะ5555555555
ต่อไปเขากับน้าอีกคนจะไปซ้อมร้องเพลงงานแต่งกัน
บังเอิญที่นั่นมีถนนคนเดินเล็กๆเราทิ้งน้าสองคนไว้ที่นั่น เหลือ แม่
ฉัน เขา แล้วน้าอีกคน
เราวิ่งรถไปมา ทั้งไม่ชำนาญทาง และทางเจ้าสาวก็ยังเตรียมงานไม่เสร็จ
ปรากฏว่า ไม่ต้องซ้อมร้องเพลง เพราะทางนั้นยังไม่พร้อม
เขาบอกว่าเป็นข่าวดีนะ
เขาไม่ค่อยมั่นใจในตัวเองเลย เขาไม่อยากร้องเพลง
เราเลยไปเดินถนนคนเดินกัน ที่ส่งน้าสองคนนั้นแหละ
แต่เขาแกล้งโทรไปบอกน้าสองคนว่ายังรอซ้อมร้องเพลง คงจะอีกนาน รอก่อนนะ *กลั้นขำหนักมาก*
เราก็ซื้อของมานั่งกินกัน
ฉันโดนไล่ให้เฝ้าโต๊ะระหว่างคนอื่นไปหาซื้อของกิน
เขามาก่อน เรานั่งคุยกันสองคน เขาคุยกับฉันสุภาพมาก ไม่ห่างเหินนะ
แต่เขาสุภาพมาก
ฉันโคตรชอบเสียงหัวเราะเขา มันละมุน
แต่ฉันเกลียด..... ตอนที่รู้แล้วว่าฉันปลื้มเขา
เมื่อเรากินเสร็จ เขาโทรไปหาน้าทั้งสองคน
ปรากฏว่าน้าสองคนนั้นกำลังเดินกลับบ้านพัก 5555555555555555555555555
มันไกลนะ ตอนที่เราโทรไปน้าสองคนนั้นเดินไปสัก2-3กิโลได้แล้วหล่ะ
ตลก ที่น้าสองคนนั้นยังไม่รู้ว่าพวกเราไปถนนคนเดินกัน
(แต่สุดท้ายความก็แตก)
เราเปลี่ยนบ้านพัก เราแยกชายหญิง อยู่คนละที่
พรุ่งนี้เป็นงานแต่ง
ตอนกลางคืนเขาโทรมาบอกว่าลืมรองเท้าไว้ในรถ
5555555555555555555
พรุ่งนี้ก็คีบแตะเข้างานก่อนนะคะ
ความจริงฉันอยากให้แม่เอาไปให้เค้า
ไม่รู่ว่าเมื่อไหร่ที่ฉันรู้สึกว่าฉันอยากเจอเขาอีก...............
วันที่สาม
งานแต่ง
ฉันทำใจไม่ได้
ฉันต้องเป็นเพื่อนเจ้าสาวกับน้าอีกคน
ทั้งชีวิตฉันใส่กระโปรง(ที่ไม่ใช่นักเรียน) นับครั้งได้
ฉันต้องมาแต่งหน้า ทำผม ใส่ส้นสูง และชุดไทย
ใช่ๆ ที่มันกระโปรงยาวๆ ต้องเดินหนีบๆหน่ะ สไบพาดด้วยนะ
ฉันเขินชิบหาย ฉันกลัวด้วย
เราไปเจอกันที่งานแต่ง
ฉันดีใจที่คนรู้จักฉันน้อย ฉันไม่ได้ทำอะไรเปิ่นๆหรอกนะ
แต่ฉันแค่ไม่เคยทำอะไรแบบนี้
มันหลุดคาแรคเตอร์ฉันมาก
เขาไม่ได้เซ็ตผม แต่งหน้า ทาแป้ง หรือทำอะไรทั้งนั้นแหละ
กางเกงยีนส์ เสื้อยืด และเสื้อสูทน้ำตาล (คีบแตะ แน่นอน)
ระหว่างรองานเริ่ม ฉันมีหน้าที่ต้อนรับแขก
ไม่เอาอ่ะ ฉันแทบไม่รู้คนอื่นที่มางานเลย (รู้จัก2เปอร์เซ็นต์ได้)
ฉันได้แต่ยืน.........
ฉันยืนหลบอยู่หลังเขา
ฉันอยากจะย้ำว่าฉันอายจริงๆ
เขาเป็นคนเดียวในแก๊งที่สูงกว่าฉัน(ขนาดใส่ส้นสูงแล้วเขาก็ยังสูงกว่า).
‘มาทำอะไรอยู่ข้างหลังพี่คะ’
‘หนูหลบหลังน้า*อีกคน*ไม่ได้ค่ะ เค้าตัวเตี้ยไป’
‘อ่อ นึกว่าจะบอกว่าพี่อ้วน’ เดี๋ยวค่ะๆๆ หนูยังไม่ได้คิดอะไรแบบนั้นนะ
5555555555
น้าๆบอกให้ฉันไปยืนข้างหน้า ไม่อ่ะ เขิน
รู้ไหม ฉันอยากขอเขาถ่ายรูปคู่จะตาย แต่ฉันไม่กล้า
ได้แต่รูปหมู่.......
หลังจากกั้นประตูเงินประตูทองแล้วเราก็เดินกลับกลุ่ม
ฉันไม่ได้สนใจพิธีมากนัก ฉันปวดขา 555555555
ฉันเลยไปเปลี่ยนรองเท้าเป็นผ้าใบสีขาว
แน่นอน ชุดไทยกับผ้าใบ สุดยอดแล้ว
ฉันเดินกลับมา ทุกคนบอกว่า เหมาะกับฉันมากกว่าส้นสูงนั้นตั้งเยอะ
ค่อยเป็นตัวเองขึ้นมาหน่อย
ระหว่างงาน ฉันหิว ไม่ได้กินข้าวเช้ามา
‘สนใจขนมไหมคะ *มองไปทางขนม*’
‘...’ กำลังตัดสินใจอยู่
‘แสดงว่าสนใจสิ’
ฉันพยักหน้า แล้วก็เดินไปหยิบเอง
มีเพื่อนเจ้าสาวคนนึงเป็นเยอรมัน ฉันรู้จักกับเธอนะ
และเธอมีเพื่อนหนุ่มเยอรมันมา งาน ดี มากกกกกก
แน่นอนว่าฉันก็แสดงออก ว่า งานดี
น้าๆก็เลยบอกให้ฉันไปขอถ่ายรูปคู่ด้วย
ฉันไปขอถ่ายรูปคู่กับเพื่อนชาวเยอรมัน และงานดีคนนั้นก็เดินออกมา
ทุกคนหัวเราะ เขาก็หัวเราะ
จะรู้ตัวไหมนะ ว่าทำให้ฉันรู้สึกใจเต้นแรง
ฉันรู้สึกว่าเขียนแล้วมันเหมือนสาวน้อย
ความจริงบรรยากาศมันไม่ใช่แบบนั้น
มันอบอุ่น ละมุนไปด้วยรอยยิ้มของทุกคน เน้นเสียงหัวเราะด้วย
มันเหมือนเพื่อนที่ต่างรุ่นแซวกันละมั้ง
ฉันขอโทษที่ไม่ได้เขียนถึงงานสักเท่าไหร่
เค้าเลี้ยงโต๊ะจีนมื้อกลางวัน มันไม่อร่อยเลย แล้วฉันก็เหมือนจะไม่สบาย
ก็เลยตกลงว่าจะกลับไปพักกัน
แต่เขากับน้าอีกคนต้องซ้อมร้องเพลง ก็เลยให้รออยู่ต่อ
งานเย็น แน่นอนธีมชุดเพื่อนเจ้าสาว เธอให้ผ้าลายดอกแล้วไปตัดเอง
ฉันได้เป็นเดรสน่ารักๆกับผ้าใบ
(แม่เลือกให้นะ) โอ้ย... คนเดียวนะ ที่ใส่ผ้าใบในเพื่อเจ้าสาว
เรานั่งกินข้าวกันที่ร้านจัดงาน ฉันนั่งข้างๆเขา
เขาตื่นเต้นที่จะต้องขึ้นไปร้องเพลง
เขาชวนฉันขึ้นไป แน่นอนฉันปฏิเสธ ฉันบอกไปว่าล่มแน่ๆ
‘ไม่เป็นไรค่ะ ไปล่มด้วยกัน*หัวเราะ*’
‘หนูร้องเพื้ยนนะ’
‘พี่ก็เพี้ยน’
‘หนูร้องค่อมจังหวะ’ อ้างมันเข้าไป
อ่า ฉันอยากไปนะ อยากไปร้องมาก ให้ตายเถอะ แต่ฉันเป็นแค่ไอป๊อด
ฉันเกลียดที่ฉันรู้สึกชอบช่วงเวลานี้
ฉันเกลียดที่ฉันรู้สึกชอบเขา
แม่ชี้ผู้ชายคนหนึ่งที่เดินผ่านไป
‘ดูดีนะ’
‘เหอะ ไม่เป๊คอ่ะ’
‘แล้วสเป็คเราเป็นแบบไหน’ เขาถาม
ดื่มน้ำอยู่ น้ำแทบพุ่ง เชี่ย55555
‘ไม่รู้สิคะ ไม่แน่นอนอ่ะ’
ถ้าตอบไปว่าแบบคนที่ถามอ่ะค่ะ เค้าจะทำยังไงนะ
'อะไรหน่ะคะ'
'*ชี้สมุดที่เขียนว่า sketch book* สมุดวาดรูปค่ะ'
'ขอดูหน่อยได้ไหมคะ'
ฉันเปิดหน้าที่ยังไม่ได้วาดให้เขาดู
'นี่คือหิมะท่ามกลางทุ่งหญ้าค่ะ'
'สวยจริงๆด้วย'
เดี๋ยวนะ 55555555555
ฉันหยิบสมุดวาดรูปขึ้นมา
ฉันเปิดรูปนกกระเต็นที่ฉันวาดให้เขาดู
'นี่แมวใช่ไหม น่ารักจัง'
ก็ตลกแล้วค่ะ55555555555555555555
เราสนิทกันขนาดนี้ตอนไหนนะ
'อะไรหน่ะคะ'
'*ชี้สมุดที่เขียนว่า sketch book* สมุดวาดรูปค่ะ'
'ขอดูหน่อยได้ไหมคะ'
ฉันเปิดหน้าที่ยังไม่ได้วาดให้เขาดู
'นี่คือหิมะท่ามกลางทุ่งหญ้าค่ะ'
'สวยจริงๆด้วย'
เดี๋ยวนะ 55555555555
ฉันหยิบสมุดวาดรูปขึ้นมา
ฉันเปิดรูปนกกระเต็นที่ฉันวาดให้เขาดู
'นี่แมวใช่ไหม น่ารักจัง'
ก็ตลกแล้วค่ะ55555555555555555555
เราสนิทกันขนาดนี้ตอนไหนนะ
เขากับน้าอีกคนไปรอที่ข้างเวที แม่บอกให้ฉันตามไปถ่ายวีดีโอด้วย
*แน่นอนว่าเต็มใจ*
เราก็คุยกันเรื่อยเปื่อย
‘น้าเล่นดนตรีเป็นไหม’
‘ไม่เป็นเลย’
‘คือร้องเพลงได้อย่างเดียว?’
เขาพยักหน้า ฉันหัวเราะ
เขาเห็นฉันเคาะจังหวะ
‘เราก็จับจังหวะถูกนิ’ ชิบไก่และ
‘หนูเล่นกีต้าร์ค่ะ’
‘เล่นกีต้าร์เป็นหรอ’
‘อย่าเรียกว่าเล่นเป็นเลย เรียกว่าเล่นได้ดีกว่าค่ะ ฮา’
เขายังคงชวนฉันขึ้นไปร้องเพลง
แต่ฉันร้องเพลงที่เขาร้องไมเป็น ฮา
จนถึงวินาทีสุดท้าย เขาก็บอกฉันว่าไม่อยากร้อง กลับกันเถอะ แบบขำๆนะ
น้าอีกคนขึ้นไปร้องก่อน
เธอทำได้ดี
ฉันคิดว่าเขาจะกดดันไหมนะ
ฉันอยู่ในฐานะที่ให้กำลังใจเขาได้รึเปล่านะ
…………..
เขาขึ้นเวทีไปร้องเพลง
เขาทำได้ดีมาก เขาร้องเพลงเพราะมาก ละมุนมาก
ฉันยิ้มไม่หุบเลย
แต่......
เพื่อนเจ้าสาวคนอื่นบอกฉันว่าให้ไปถ่ายรูป
มันแย่มาก สำหรับฉันนะ ฉันฝากคนอื่นถ่ายวีดีโอ
ฉันได้แต่ภาวนาว่าจะกลับมาให้ทันก่อนจบ
ฉันขอบคุณที่ถ่ายรูปกับแป๊ปเดียว
ฉันไม่ได้สนใจเรื่องถ่ายรูปเลย มัวแต่แอบฟังเพลง
พอถ่ายเสร็จฉันวิ่ง...ไม่ได้... เดินเร็วละกัน
ไปหน้าเวทีเพื่อถ่ายวิดีโอต่อ
ฉันเกลียดที่เขามองหน้าฉันตอนร้องเพลง เขายิ้ม แล้วท่อนนั้นร้องว่า
“ขอบคุณสรวงสวรรค์ ให้เราได้เจอกัน
ขอบคุณคนบนนั้นที่ทำให้ฉันได้พบเธอ”
ฉันเกลียดที่เข้าข้างตัวเอง
*เป็นเพราะโต๊ะที่เรานั่งอยู่ไกล เขาเลยมองฉัน* ฉันต้องคิดไว้
เขาร้องไป 3 เพลง ฉันฟังได้แค่ 2 เพลงครึ่ง
เขาลงมาจากเวที
นักร้องร้องเพลง เธอหมุนรอบฉัน ฉันหมุนรอบเธอ
เขาชวนฉันร้องเพลงนี้ตอนเดินกลับโต๊ะ
เราร้องเพลงพร้อมกัน
เขาบอกว่า
‘เราก็ร้องเพลงได้หนิ’
ฉันเขิน จนไม่ได้ตอบไป
มันเป็นแค่ช่วงสั้นๆ แต่ฉันก็อบอุ่นหัวใจมาก
ลองบวกลบดูแล้ว อายุเราห่างกัน 13 ปี............
ทั้งนี้ทั้งนั้น ฉันรู้อยู่แล้วว่าเค้ามีแฟนอยู่แล้ว และก็คงแต่งงานในอีกไม่กี่ปี............
วันสุดท้าย
เราเดินทางกลับ...........
น้าคนนึงไม่กลับด้วย เค้าจะกลับบ้านที่อยู่จังหวัดใกล้ๆกัน
บทสนนาในรถโคตรเยอะ แทบจะไม่หลับกันเลย
แต่ส่วนมากฉันกับเขาชอบนั่งฟังคนอื่นคุยกัน
เราแวะตลาดในเมือง
น้าสองคนลงไปแวะซื้อข้าว
ฉัน เขาและแม่อยู่ด้วยกัน
เขาเสนอว่า เราจะแกล้งน้าคนนึงโดยการเอากระเป๋าไปซ่อน
‘น่าจะเป็นกระเป๋าอันนี้’
‘ไม่ใช่ค่ะ หนูว่าอันนี้’
‘ไม่ อันนั้นของพี่’ ฮา
'ครบคนแล้ว ไปกันเถอะครับ'
ทั้งๆที่น้าอีก2คนยังไม่มา *หัวเราะ*
'ครบคนแล้ว ไปกันเถอะครับ'
ทั้งๆที่น้าอีก2คนยังไม่มา *หัวเราะ*
ทางกลับช่วงแรกเป็นป่าเขา มีหมอก
ฉันชอบมองวิวป่าข้างกระจก และฉันก็ชอบแอบมองเขาด้วย
บางครั้งฉันก็เห็นสายตาเค้ามองฉัน......
เราคุยกันถึงนักร้องที่ฉันเคยชอบ
‘ไม่เห็นหล่อเลย’
‘ก็หนูชอบคนที่ร้องเพลงได้นี่นา’ อ้าว
หลุดปากไป
‘แต่ถ้าไม่เล่นคนตรีก็ไม่ไหวนะ’ ฉันพยามยามทำให้เขาคิดว่าฉันไม่ได้ชอบเขา
ฉันหวังว่าเขาคงไม่ได้คิดอะไรนะ
ระหว่างทางฉันเห็นอุปกรณ์จับปลาชนิดหนึ่ง
เอาจริงๆนะ ฉันรู้จักแต่กระชังเลี้ยงปลา กับการใช้เบ็ด5555
'มันคืออะไรอ่ะคะ' ฉันถาม
'โพงพาง' แม่ปากไวไปหน่อย
ทุกคนหัวเราะ ฉันงงว่าหัวเราะอะไรกัน แล้วอะไรคือโพงพาง
'สมัยเราเด็กๆนี่หายากนะ' น้าคนนึงบอก
'ผมเกิดแทบไม่ทันเลยนะครับ' เขาบอก
5555555555555555555555555555555555
แสดงว่าบอกอายุแม่
เขาบอกว่ามันคือ ยอ
ไว้ล่อปลามาแล้วก็ยกขึ้น
เราคุยกันเรื่องอดีต สมัยที่พวกเขายังเด็กๆ เช่น แม่เคยเอาดอกมะพร้าวมาตกปู ตกกุ้ง
เราแวะกินอาหารเป็นแพริมแม่น้ำ
เขาชี้เสือพ่นน้ำให้ฉันดู
ฉันเป็นปลาเยอะแยะแต่ไม่แน่ใจว่าเป็นปลาอะไร
ฉันหาในกูเกิ้ลอยู่
เขากำลังสั่งอาหาร ฉันกำลังดูปลาอยู่
'เก็บอันนั้นไว้ก่อนค่ะ สั่งข้าวก่อน'
เราดูเมนูอันเดียวกัน (แน่นอนว่าเรานั่งข้างกัน)
เราคุยกันเรื่องปลา
'รู้ไหมว่านี้ปลาอะไร'
'ปลาตะเพียนทองค่ะ'
'แล้วรู้จักปลาตะเพียนเงินไหม มันตัวใหญ่กว่านี้ แล้วก็สีเงินทั้งตัว
ทอดกินอร่อยนะ' เดี๋ยวๆๆๆๆ
ฉันมั่นใจว่าเขาต้องเป็นลูกชาวสวนแน่ๆ
ระหว่างทางฉันเห็นอุปกรณ์จับปลาชนิดหนึ่ง
เอาจริงๆนะ ฉันรู้จักแต่กระชังเลี้ยงปลา กับการใช้เบ็ด5555
'มันคืออะไรอ่ะคะ' ฉันถาม
'โพงพาง' แม่ปากไวไปหน่อย
ทุกคนหัวเราะ ฉันงงว่าหัวเราะอะไรกัน แล้วอะไรคือโพงพาง
'สมัยเราเด็กๆนี่หายากนะ' น้าคนนึงบอก
'ผมเกิดแทบไม่ทันเลยนะครับ' เขาบอก
5555555555555555555555555555555555
แสดงว่าบอกอายุแม่
เขาบอกว่ามันคือ ยอ
ไว้ล่อปลามาแล้วก็ยกขึ้น
เราคุยกันเรื่องอดีต สมัยที่พวกเขายังเด็กๆ เช่น แม่เคยเอาดอกมะพร้าวมาตกปู ตกกุ้ง
เราแวะกินอาหารเป็นแพริมแม่น้ำ
เขาชี้เสือพ่นน้ำให้ฉันดู
ฉันเป็นปลาเยอะแยะแต่ไม่แน่ใจว่าเป็นปลาอะไร
ฉันหาในกูเกิ้ลอยู่
เขากำลังสั่งอาหาร ฉันกำลังดูปลาอยู่
'เก็บอันนั้นไว้ก่อนค่ะ สั่งข้าวก่อน'
เราดูเมนูอันเดียวกัน (แน่นอนว่าเรานั่งข้างกัน)
เราคุยกันเรื่องปลา
'รู้ไหมว่านี้ปลาอะไร'
'ปลาตะเพียนทองค่ะ'
'แล้วรู้จักปลาตะเพียนเงินไหม มันตัวใหญ่กว่านี้ แล้วก็สีเงินทั้งตัว
ทอดกินอร่อยนะ' เดี๋ยวๆๆๆๆ
ฉันมั่นใจว่าเขาต้องเป็นลูกชาวสวนแน่ๆ
เขาพูดเยอะกว่าขามาเยอะมากเลย
ฉันดีใจนะ เราสนิทกันมากขึ้น แกล้งคนอื่นด้วย
บางทีเขาก็แกล้งฉัน
เขาเป็นคนเงียบๆ แต่ถ้าเขาพูดทีก็กวนไม่ใช่เล่นเหมือนกัน
เขาเป็นคนเงียบๆ แต่ถ้าเขาพูดทีก็กวนไม่ใช่เล่นเหมือนกัน
ฉันอยากให้การเดินทางกลับนี้เป็นการเดินทางที่ยาวมากๆ.............
หวังว่าเราจะได้ร่วมทริปกันอีกนะคะ J
อื่นๆ
- โอเค มันเหมือนไดอารี่สาวน้อย
- คุณรู้ไหม เขาเป็นคนแรกที่ฉันปลื้มแล้วได้รู้จักกัน คุยกันขนาดนี้
- เขาแทนตัวเองว่าพี่ แต่ฉันเรียกเขาว่าน้า ถ้าฉันจะจีบเขา
ฉันคงเรียกเขาว่าพี่.....
ขอโทษสำหรับทุกคำผิด
No comments:
Post a Comment
Note: only a member of this blog may post a comment.